หน้าอัลกุรอาน 4
Al-Baqarah (2) : 17 - 24
17. อุปมาพวกเขา ดังผู้ที่จุดไฟขึ้น (24) ครั้งเมื่อไฟได้ให้แสงสว่างแก่สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา (25) อัลลอฮ์ก็ทรงนำเอาแสงสว่างของพวกเขาไป (26) และปล่อยพวกเขาไว้ในบรรดาความมืด ซึ่งพวกเขาไม่สามารถจะมองเห็นได้
(24) เพื่อจะได้เห็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวพวกเขาว่า มีอะไรบ้างที่มีประโยชน์และเป็นอันตรายแก่ตัวของพวกเขาอันเปรียบได้ดั่งการมาของอิสลาม เพราะอิสลามทำให้เขารู้และเข้าใจสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกเขา ความที่ว่า “สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของพวกเขา” นั้น หมายถึงหน้าที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องปฏิบัติ
(25) เมื่อไฟได้ช่วยให้เขาเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเขา อันหมายถึงหน้าที่ของพวกเขา แทนที่เขาจะให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านั้น
เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเขา กลับทำเป็นไม่เห็นและผินหลังให้เสีย
(26) เมื่อพวกเขาไม่สนใจในสิ่งที่พวกเขาเห็นรอบ ๆ ตัวของเขา อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้พวกเขาอยู่ในความมืดต่อไปกล่าวคือ ปล่อยให้จมปลักในความโง่ต่อไป ตามที่พวกเขาปรารถนา ทั้งนี้โดยที่ได้ทรงใช้ถ้อยคำในเชิงประชดว่า อัลลอฮ์ก็ทรงนำเอาแสงสว่างของพวกเขาไป ปล่อยให้พวกเขาอยู่ในความมืดมิด ซึ่งพวกเขาไม่สามารถจะมองเห็นได้ ในการที่จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความมืด โดยไม่สามารถรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร อันเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นสภาพของผู้ปฏิบัติศรัทธาว่าการดำเนินชีวิตของพวกเขานั้นเหมือนอยู่ในความมืด
18. เขาเหล่านั้นเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และ ตาบอด ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถจะกลับมาได้ (27)
(27) อัลลอฮ์ทรงเปรียบเทียบพวกเขาว่าประหนึ่ง คนหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอด และประการหนึ่งว่าพวกมุนาฟิกนั้น เป็นพวกที่สูญเสียอวัยวะสำคัญทั้งสามดังกล่าว แน่นอนผู้ที่มีสภาพดังกล่าวย่อมไม่สามารถกลับไปสู่ทางที่ถูกได้ เพราะว่าจะฟังเขาพูดก็ไม่ได้ยิน จะถามเขาก็พูดไม่ได้ และจะมองก็มองไม่เห็น อันนับได้ว่าเป็นมนุษย์ที่น่าทุเรศที่สุด
19. หรือดั่งฝนที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้า โดยที่ ในฝนนั้นมีทั้งบรรดาความมืด ฟ้าคำรน และฟ้าแลบ พวกเขาจึงเอานิ้วมือของพวกเขาอุดหูไว้ เนื่องจากฟ้าผ่า เพราะกลัวความตาย (28) และอัลลอฮ์ทรง ห้อมล้อม (29) พวกปฏิเสธศรัทธา
(28) ตามธรรมดาสำหรับผู้มีปัญญานั้น เมื่อกลัวฟ้าผ่า ก็จะต้องหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากสิ่งที่เป็นสื่อไฟฟ้าเสีย จึงจะได้รับความปลอดภัย ไม่ใช่เอานิ้วมืออุดหู เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียฟ้าผ่า แล้วฟ้าก็จะไม่ผ่า อันเป็นการกระทำของผู้ที่ขาดปัญญา ในทำนองเดียวกันพวกมุนาฟิกที่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมฟัง อัลกุรอาน และคำแนะนำของท่านนบีนั้น ก็ใช่ว่าจะพ้นการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ เพียงแต่แก้ตัวว่าไม่เคยได้ยินโองการของอัลลอฮ์และคำแนะนำของท่านนบีเท่านั้น
(29) เป็นการแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาไม่สามารถจะหนีให้พ้นไปได้ เพราะประหนึ่งพวกเขาถูกล้อมไว้แล้ว
20. สายฟ้าแลบแทบจะเฉี่ยวสายตาของพวกเขาไป (30) คราใดที่มันให้แสงสว่างแก่พวกเขา พวกเขาก็เดินไปในแสงสว่างนั้น (31) และเมื่อมันมืดลงแก่พวกเขา พวกเขาก็หยุดยืน และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว (32) แน่นอนก็ทรงนำเอาหูและตาของพวกเขาไปแล้ว แท้จริง อัลลอฮ์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
(30) อัลลอฮ์ทรงเปรียบเทียบว่า ความชัดเจนของอัลกุรอานนั้นให้ความเจิดจ้าประดุจสายฟ้าแลบที่แทบจะเฉี่ยวสายตาของพวกเขาไป
(31) ทรงเทียบว่า เมื่ออัลกุรอานได้ให้ความเข้าใจแก่พวกเขา ในสิ่งที่พวกเขายังมืดมนอยู่ (อันเปรียบเสมือนแสงฟ้าแลบที่ให้ความสว่างแก่พวกเขา) พวกเขาก็ปฏิบัติตาม แต่เมื่อพวกเขาไม่สบอารมณ์ในข้อความของอัลกุรอาน (อันเปรียบเสมือนแสงฟ้าแลบได้มืดลง) พวกเขาก็ไม่ยอมปฏิบัติ (อันเปรียบเสมือนพวกที่ยืนอยู่กับที่)
(32) ถ้าอัลลอฮ์ทรงประสงค์จะลงโทษพวกเขา พระองค์ก็ทรงให้ตาของพวกเขาบอดไปแล้ว เพราะมีตาก็เหมือนไม่มี เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองแต่อย่างใด
21. มนุษย์เอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮ์ (33) พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าที่ทรงบังเกิดพวกเจ้า และบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
(33) การให้เอกภาพแเด่อัลลอฮ์ด้วยความนอบน้อมถ่อมตน และจงรักภักดีต่อพระองค์
22. พระองค์คือ ผู้ทรงให้แผ่นดินเป็นที่นอน (34) และฟ้าเป็นอาคาร (35) แก่พวกเจ้า และทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วได้ทรงให้บรรดาผลไม้ออกมา เนื่องด้วยน้ำนั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าให้มีผู้เท่าเทียมใดๆขึ้น สำหรับอัลลอฮ์ (36) โดยที่พวกเจ้าก็รู้กันอยู่
(34) ให้แผ่นดินเป็นผืนราบเหมือนที่นอน
(35) ให้ฟากฟ้าที่มองเห็นเป็นรูปโดมนั้น เป็นเสมือนอาคารที่มนุษย์พักอาศัย
(36) อย่าให้มีผู้หนึ่งผู้ใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่าเทียมกับพระองค์ ทั้งในความรัก ความกลัวเกรง และในการจงรักภักดี ตลอดจนในสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น กล่าวคือ เราจะต้องให้พระองค์อยู่เหนือกว่าสิ่งใดทั้งมวล เฉพาะอย่างยิ่งในการอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ทุกประเภท จะต้องให้เป็นไปเพื่อความโปรดปรานของพระองค์ แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
23. และหากว่าพวกเจ้าอยู่ในความแคลงใจใด ๆ จากสิ่ง (37) ที่เราได้ลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว (38) ก็จงนำมาสักซูเราะฮ์หนึ่งเยี่ยงนั้น (39) และจงเชิญชวนผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง (40)
(37) จากอัลกุรอาน
(38) แก่ท่านนบีมุฮัมมัด
(39) คือจงประพันธ์มาสักซูเราะฮ์หนึ่ง เช่นเดียวกับอัลกุรอาน
(40) อัลลอฮ์ทรงใช้ให้พวกเขาชักชวนบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมอยู่ในหมู่พวกเขาให้ช่วยเหลือในการประพันธ์อีกด้วย ยกเว้นอัลลอฮ์
องค์เดียวเท่านั้น หากพวกเขาพูดจริงตามที่อ้างไว้ และการที่ต้องยกเว้นอัลลอฮ์นั้นก็เพราะว่าพระองค์อยู่ในสภาพที่ร่วมอยู่กับพวกเขาด้วยและสามารถประพันธ์ได้ เพราะอัลกุรอานเป็นดำรัสของพระองค์
24. หากพวกเจ้ายังมิได้ทำ และจะไม่กระทำตลอดไปแล้ว ก็จงระวังไฟนรก ซึ่งเชื้อเพลิงของมันคือ มนุษย์และหิน (41) โดยที่มันได้ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
(41) หมายถึงมนุษย์ที่ดื้อด้าน และปฏิเสธศรัทธา ส่วนหินนั้นหมายถึงหินที่มนุษย์นำมาสลักเป็นเจว็ดสำหรับเคารพสักการะ